
ปตท. ลุยแผนบริหารสินทรัพย์เพิ่มเงินสด 1 แสนล้านภายใน 2 ปี จ่อเคาะพันธมิตรปิโตรฯ - โรงกลั่น สิ้นปีนี้
20 ส.ค. 2568 00:00ปตท. ชูกลยุทธ์เสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน รับมือเศรษฐกิจถดถอย บริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตั้งเป้าสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น 1 แสนล้านบาท ภายใน 2 ปี ขณะที่พันธมิตรร่วมทุนธุรกิจปิโตรเคมี - โรงกลั่น สรุปภายในสินปีนี้ ก่อนจะเสร็จสมบูรณ์ปี 69 พร้อมยืนยันยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกปี 2568 ยังคงแข็งแกร่งด้วยกำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิของทั้งปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 90,072 ล้านบาท ทำให้มั่นใจได้ว่ากลยุทธ์มาถูกทาง แม้ว่าจะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกต่างๆ อาทิ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้มีส่วนต่างของกำไรขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ประกอบกับ Spread ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่ลดลง
นอกจากนี้ในปี 2567 ยังมีการรับรู้กำไรจากรายการพิเศษที่มากกว่าปี 2568 ซึ่งเป็นรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items) อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังคงสามารถสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
ด้วยวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” โดยมีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมีการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่สำคัญในไตรมาสที่ผ่านมา ดังนี้
ธุรกิจ Hydrocarbon ที่เป็นธุรกิจหลักที่ ปตท. มีความเชี่ยวชาญ โดยเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ มุ่งเน้นเสริมสร้างความสามารถการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง อาทิ การขยายธุรกิจด้านสำรวจและผลิต โดย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) ได้ขยายการสำรวจและผลิตในแหล่งใหม่ๆ โดยมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นจากทั้งแหล่งอาทิตย์ แหล่งสินภูฮ่อม และแหล่ง MTJDA รวมไปถึงชนะการประมูลในโครงการ Reggane II
ขณะเดียวกัน ปตท. ได้ตั้งเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Global LNG Player สร้างการเติบโต ขยาย LNG Portfolio สู่เป้าหมาย 10 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 และ 15 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2578 พร้อมลงนามข้อตกลงร่วมศึกษาการจัดหา LNG ระยะยาวกับบริษัท 8 Star Alaska, LLC ประเทศสหรัฐอเมริกา
ธุรกิจ Non-Hydrocarbon มีความก้าวหน้าที่ดี เดินตามแผนกลยุทธ์ปรับพอร์ตการลงทุน โดยธุรกิจ Life Science ร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ สร้างการเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self-funding) ปรับการถือหุ้น Lotus ผ่านธุรกรรมการขายหุ้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัว รวมทั้งปรับโครงสร้างธุรกิจ EV จำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด โดยเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้
การดำเนินงานด้านความยั่งยืน กลุ่ม ปตท. ยึดหลักการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างสมดุลใน 3 มิติ ได้แก่ 1. เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน มีการกระจายความเสี่ยง สามารถรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Security) 2. จัดหาแหล่งพลังงานที่สามารถเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้ (Affordability / Competitiveness) และ 3. ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน ควบคู่การลดก๊าซเรือนกระจก (Sustainability) ดำเนินการศึกษา Eastern Thailand CCS Hub แล้วเสร็จ โดยมีการ FID โครงการ CCS ในแหล่งอาทิตย์ พร้อมแสวงหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ
ด้านธุรกิจไฮโดรเจน ศึกษาโอกาสในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้า พร้อมลงนามข้อตกลงความร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ในการจัดหาไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียวที่ผลิตในประเทศอินเดียสู่ประเทศไทยร่วมกับ Avaada Ventures Private Limited
นายคงกระพัน กล่าวว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปตท. ยึดนโยบายการสร้างความแข็งแรงจากภายใน ผ่านโครงการสำคัญที่จะช่วยยกระดับผลการดำเนินงานเพิ่ม EBITDA Uplift และสร้างความสามารถในการแข่งขันของกลุ่ม ปตท. ในทุกมิติ ประกอบด้วย
1. การบริหารความร่วมมือด้าน Supply Chain และ Marketing ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ D1 และ Project One (P1) เพื่อยกระดับ Synergy ภายในกลุ่ม ปตท. และเตรียมความพร้อมขยายตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งโครงการ P1&D1 ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 4,300 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 2,383 ล้านบาท
2. ทำเรื่อง Operational Excellence (MissionX) ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (Lean Process) ควบคู่กับการทำ Change Management และ Best Practice Sharing เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน โดยในส่วนของ MissionX วางเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 10,000 ล้านบาท ครึ่งแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 4,700 ล้านบาท และเป้าในปี 2570 อยู่ที่ระดับ 30,000 ล้านบาท
3. ขับเคลื่อน Digital Transformation (Axis) โดยผลักดันให้เกิดการพัฒนา Use Cases สนับสนุนธุรกิจกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งพัฒนา Infrastructure และศักยภาพพนักงาน วางเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 200 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 60 ล้านบาท จากนั้นปี 2572 ตั้งเป้าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12,000 ล้านบาท
4. Asset Monetization (A1) การบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. เพิ่ม Asset Optimization & Synergy และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม ซึ่ง A1 จะเพิ่มผลการดำเนินงานและมีความมั่นคงในระยะยาว ตั้งเป้าเพิ่มกระแสเงินสดในช่วง 2 ปีนี้ (ปี 2568 - 2569) รวม 100,000 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2568 จะสร้างกระแสเงินได้ 38,000 ล้านบาท และปี 2569 จำนวน 77,000 ล้านบาท และเพิ่ม ROIC ขึ้นจากเดิมอีก 5 - 10%
5. Financial Excellence (F1) เสริมสร้างความแข็งแกร่งและวินัยทางการเงินเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีให้แก่นักลงทุน สอดคล้องพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ส่วนควบคืบหน้าการหาพันธมิตรร่วมทุนในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่นนั้น นายคงกระพัน กล่าวว่า ขณะนี้ปตท.อยู่ระหว่างการเจรจาหลายราย และยังมีผู้สนใจเข้ามาเจรจาอย่างต่อเนื่อง คาดจะสรุปคัดเลือกพันธมิตร (Shortlist Partner) ได้ภายในปลายปี 2568 ก่อนจะดำเนินการให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2569 โดยปตท. จะพิจารณาพันธมิตรที่เข้าร่วมทุนจะต้องช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท
"แม้ว่าการหาพันธมิตรร่วมทุนในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น แต่ปตท. ยังถือเป็นเรือธง (Flagship) ของบริษัท ดังนั้น ปตท. จะยังคงเป็นผู้บริหารหลักและถือหุ้นใหญ่ในกลุ่มธุรกิจดังกล่าว แต่ขณะนี้สัดส่วนการถือหุ้นยังไม่สามารถบอกได้" นายคงกระพัน กล่าว