
จิตตะ เวลธ์ มองการลงทุนยังผันผวน แนะจัดพอร์ต Core & Satellite ลงทุน Global ETF - Jitta Ranking Alpha
17 ก.ค. 2568 00:00จิตตะ เวลธ์ ประเมินครึ่งปีหลังยังเผชิญความไม่แน่นอนจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการลงทุน พร้อมเปิดบทพิสูจน์การลงทุนฝ่าวิกฤติ Trump Tariffs ด้วยการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite กระจายความเสี่ยง ด้วย Global ETF และ Jitta Ranking Alpha ในสัดส่วน 80 : 20 เอาชนะความผันผวนได้ด้วยผลตอบแทน 3.49%
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) เปิดเผยว่า แม้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกจะเริ่มผ่อนคลายความกังวลจากประเด็นสงครามการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์บ้างแล้ว เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่ตลาดผันผวนรุนแรง แต่ในช่วงที่เหลือของปี ประเด็นเหล่านี้จะยังคงกดดันตลาด และอาจกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี และส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อต่อไป เป็นประเด็นที่นักลงทุนต้องจับตา
“หากย้อนประวัติศาสตร์เงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา หลังเหตุการณ์สำคัญ เงินเฟ้อจะพุ่งแรงอย่างเห็นได้ชัด เช่นในปี 2489 ที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปถึง 18.1% แต่ในทางกลับกัน ไม่ว่าจะผ่านมากี่วิกฤติตลาดหุ้นก็สามารถปรับตัวกลับขึ้นมาได้ โดยดัชนี S&P500 สร้างผลตอบแทนได้ถึง 326.65% (31 ธันวาคม 2542 - 14 กรกฏาคม 2568) สะท้อนได้ว่าในทุกวิกฤติมีโอกาสเสมอ ดังนั้นนักลงทุนต้องทำการบ้านหนักขึ้นเพื่อให้เป็น “นักเลือก” ค้นหาหุ้นที่ดีในราคาเหมาะสม ทนทานต่อความผันผวนในระยะยาวให้เจอให้ได้”
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า เมื่อภาพการลงทุนกำลังเปลี่ยนไปตามบริบทใหม่ของโลก นักลงทุนจำเป็นต้องมีหลักคิดในการลงทุนที่ถูกต้องเพื่อให้พร้อมเผชิญกับความไม่แน่นอนในอนาคต ซึ่งการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ให้พอร์ตคือกุญแจสำคัญ รวมถึงการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ที่มีการแบ่งสัดส่วนของ Core Port หรือพอร์ตหลักให้มีสินทรัพย์ที่กระจายความเสี่ยงอย่างครอบคลุม และสร้างความมั่นคงให้พอร์ต ควบคู่ไปกับ Satellite Port หรือพอร์ตรอง เสริมการลงทุนแบบมุ่งเน้นผลตอบแทน ในประเทศหรือธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ซึ่งสัดส่วนของทั้ง 2 พอร์ต อาจจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนเอง แต่สัดส่วนที่ปลอดภัยที่ Jitta Wealth แนะนำจะอยู่ที่ 80 : 20
ทั้งนี้สูตรการลงทุนที่ Jitta Wealth แนะนำคือการจัด Core Port ด้วย Global ETF แผนการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงในหุ้นและตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก และจัด Satellite Port ด้วย Jitta Ranking Alpha นโยบายการลงทุนที่มี Alpha AI อัลกอริทึมวิเคราะห์ประเทศของ Jitta Wealth คัดเลือก ‘ตลาดหุ้นที่ดี ในเวลาที่เหมาะสม’ การจัดพอร์ตแบบนี้ที่สัดส่วน 80 : 20 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถนำพาพอร์ตให้ผ่านพ้นวิกฤติ Trump Tarriffs ได้ โดยในวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่สหรัฐฯ มีการประกาศ Liberation Day ผลตอบแทนของพอร์ตติดลบเพียง 5.27% จากต้นปี ถือว่าน้อยมากเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกที่ร่วงรุนแรงในช่วงแวลาเดียวกัน และล่าสุดเมื่อตลาดเริ่มนิ่ง (14 กรกฎาคม 2568) ผลตอบแทนก็กลับมา +3.49% พิสูจน์ได้ว่าการจัดพอร์ตด้วยหลักการนี้สามารถฝ่าวิกฤติความผันผวนได้จริง
“การกระจายความเสี่ยงและการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite โดยมี Global ETF เป็น Core Port สามารถฝ่าวิกฤติได้จริง ด้วยผลตอบแทนที่ดีและความเสี่ยงต่ำ เหมาะที่นักลงทุนจะใช้เป็นพอร์ตหลักได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล และการมีพอร์ตหลักที่มั่นคง จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนด้วยการเลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคตใน Satellite Port ได้ด้วย”
นายตราวุทธิ์ ยังกล่าวว่า ตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตเวลานี้ นักลงทุนอาจจะให้ความสนใจในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังคงทำสถิติ All Time High ได้เสมอ แต่สหรัฐฯ เองก็ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม ทั้งปัญหาภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงความต้องการพันธบัตรสหรัฐฯ เริ่มลดน้อยลง ขณะที่ประเทศคู่แข่งอย่างจีนในเวลานี้ถือว่ายังมีความแข็งแกร่ง มีจุดยืนที่มั่นคงในเวทีโลกเห็นได้จากการตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ แม้ในภาพรวมของภาคประชาชนจะแสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง GDP เติบโตอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5.5% (2564 - 2567) ซึ่ง สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 2%
อย่างไรก็ตามหากถาม AI ถึงประเทศที่น่าลงทุนในเวลานี้ ด้วย Jitta Market Prediction ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในแบบ AI Predictive Analytics ที่มีการนำฐานข้อมูลการลงทุนมาวิเคราะห์ในทุกมิติ เพื่อเฟ้นหาตลาดที่น่าลงทุน และมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต โดยข้อมูลล่าสุด (11 กรกฏาคม) AI พบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีอัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงลดลงมาอยู่ที่ 0.61 เท่า จากสิ้นปีก่อนที่มี 0.72 เท่า สะท้อนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เวลานี้อาจจะแพงไปแล้ว เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นจีนที่มีอัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15.6 เท่าจากสิ้นปีก่อนที่มีเพียง 9 เท่า
“เวลานี้ระบบเศรษฐกิจโลกถูกขับเคลื่อนไปตามการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ในอีก 10 ปีข้างหน้า ยังไม่มีใครตอบได้ว่าสหรัฐฯ หรือจีน ใครจะขึ้นเบอร์หนึ่งของโลก แต่ที่แน่ๆ เราก็จะเห็นการเติบโตของทั้ง 2 ประเทศนี้ต่อไป ดังนั้นหากนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสการลงทุนใน Satellite Port ด้วยหุ้นในประเทศต่างๆ แต่ยังไม่รู้ว่าควรลงทุนในตลาดใดในช่วงจังหวะเวลาใด สามารถลงทุนใน Jitta Ranking Alpha ที่จะมี Alpha AI อัลกอริทึมวิเคราะห์ประเทศของ Jitta Wealth ช่วยคัดเลือก ‘ตลาดหุ้นที่ดี ในเวลาที่เหมาะสม’ ตอบโจทย์นักลงทุนที่ไม่มีความรู้หรือไม่มีเวลาติดตามสถานการณ์ตลาด สามารถลงทุนใน ‘ตลาดหุ้นที่ดี ในเวลาที่เหมาะสม’ และ ‘หุ้นดีราคาถูก’ ได้พร้อมๆ กัน ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้นักลงทุนได้ดีกว่า”
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า สำหรับผลตอบแทนการลงทุนในนโยบายต่างๆ ของ Jitta Wealth ตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบัน (14 กรกฎาคม 2568) นั้น นโยบายที่เกี่ยวกับหุ้นจีนสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น เช่น Jitta Ranking หุ้นฮ่องกง สามารถสร้างผลตอบแทน (YTD) +19.64% และหากดูเป็นธีมการลงทุน พบว่าธีมบริการสุขภาพจีน +29.34% ธีมพลังงานสะอาดจีน +26.19% ธีมตลาดหุ้นจีน +23.16% ธีมหุ้นฮ่องกง +22.50% ธีมเทคโนโลยีจีน +19.26% ส่วน Jitta Ranking หุ้นจีน +4.77% และ Jitta Ranking Alpha +4.15%
“AI ของ Jitta Wealth ชี้ให้เห็นโอกาสในตลาดหุ้นจีนมาโดยตลอด และเวลานี้ยิ่งตอกย้ำความแม่นยำได้จากผลตอบแทนที่ชัดเจน ซึ่่งตลาดหุ้นฮ่องกงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนำไปก่อนเพราะเป็นตลาดที่เงินทุนไหลเข้าออกง่าย แต่หากมองโครงสร้างในระยะยาวแล้วในอนาคตเชื่อว่าจะเห็นการโยกเม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่แน่นอน”