
โครงการ JUMP+ ลุ้นสิทธิประโยชน์ทางภาษี 24 มิ.ย.นี้ คาดบจ.เข้าร่วมกว่า 50 - 100 แห่ง
20 มิ.ย. 2568 00:00คลังหนุนโครงการ JUMP+ ยกระดับบริษัทขนาดกลาง - เล็ก ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ลุ้นสิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 24 มิ.ย.นี้ ก่อนจะเปิดรายละเอียดโครงการ 26 มิ.ย.68 คาดบจ. เข้าร่วม 50 - 100 แห่ง
นายพิชัย ชุณหวชิรรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย ภายหลังร่วมประชุมหารือกับบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้ข้อมูลโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน (JUMP+) ว่า หลักการที่ได้ทำคือการพัฒนาบริษัทขนาดเล็ก ที่อาจจะยังไม่มีบุคลากรไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะจ้างที่ปรึกษา ให้มีการพัฒนาที่ดีมากขึ้น โดยมีการจัดทำแผนการทบทวนด้านผลประกอบการ, P/E Ratio, ธุรกิจที่เข้าร่วมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันให้ธุรกิจเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เหมือนกับที่บริษัทขนาดใหญ่ นอกจากนี้เมื่อทำแล้ว จะต้องนำสิ่งที่คาดหวังหรือสิ่งที่ได้วางแผนมาเปิดให้นักลงทุนได้ทราบด้วย
"ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจากความเชื่อมั่นลดลงสะท้อนมาที่สภาพของดัชนี ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้เจ้าของกิจการเรียนรู้ถึงปัญหา การแก้ปัญหา และเปิดเผยข้อมูล จึงเป็นที่มาของโครงการJUMP+คล้ายกับที่เกาหลีและญี่ปุ่นเคยทำ"
การดำเนินการครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ทุกบริษัทดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกทาง โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและเล็กที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะต้องมีขั้นตอนในการปฏิบัติในการดำเนินการตามโครงการ JUMP+ เช่นเดียวกับบริษัทขนาดใหญ่ที่โดยปกติได้มีกระบวนการในการทำเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานต่างๆ อยู่แล้ว
สำหรับมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในตคลาดหุ้นไทยนั้นมีหลายอย่าง เช่น กฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งได้ดำเนินมาระยะหนึ่งแล้ว เพื่อปิดช่องว่างระหว่างบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็ก หรือนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทย ในแง่ของการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องหุ้น Naked Short Selling คือ การขายหุ้นออกไปโดยที่นักลงทุนรายนั้นไม่ได้ถือหุ้นอยู่จริง เรื่องการลงโทษหรือเอาผิดนักลงทุน และกฎหมายต่างๆ ที่ทยอยได้ดำเนินการแล้ว และภายในเวลาอันสั้นจะสามารถผ่านกฎหมายนี้ได้
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นายพิชัย กล่าวว่า ในวันนี้แม้ว่ายังไม่ได้กระตุ้นการบริโภคโดยตรง แต่ได้เน้นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในเรื่องน้ำเพื่อการบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม เรื่องการท่องเที่ยว ถนน ความปลอดภัยในสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ การแก้ไขกฎระเบียบและกฎหมาย เรื่องการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินได้ เป็นต้น
"ทุกอย่างเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง นำไปสู่ความมั่นใจในการลงทุน และสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน แต่สำหรับการกระตุ้นระยะสั้นนั้นจะเกิดในแง่ของการจ้างงานเป็นหลัก" นายพิชัย กล่าว
ขณะที่ความความคืบหน้าการเจรจาสหรัฐ ขณะนี้ได้ลงนามในชั้นของความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ (Non-Disclosure Agreement) แต่เชื่อว่าการเจรจาภาษีกับสหรัฐในส่วนของในแต่ละประเทศไม่ได้จบง่าย ต้องใช้เวลา ส่วนจะต้องขยายเวลาหลังจากจะครบกำหนด90 วันในการผ่อนผันภาษีของทรัมป์หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศใดประเทศหนึ่ง
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าสนับสนุนตลาดทุนไทยให้เติบโตยั่งยืนอย่างมีเสถียรภาพ ผ่านโครงการ JUMP+ ที่จะมีการเปิดรายละเอียดโครงการฯ ดังกล่าวอย่างเป็นทางการพร้อมกับเปิดลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ สำหรับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในวันที่ 26 มิ.ย. 2568 นี้ และมั่นใจโครงการนี้จะช่วยสนับสนุนธุรกิจบจ. สามารถเติบโตได้อย่างไม่มีข้อจำกัด โดยคาดจะมีบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดเอ็ม เอไอ เข้าร่วมโครงการประมาณ 50 - 100 บริษัท
สำหรับเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะมอบให้แก่บริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ JUMP+ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการหารือเบื้องต้นกับกรมสรรพากรไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอข้อสรุปจากกระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังจะเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันอังคารที่ 24 มิ.ย. ก่อนจะมีการแถลงรายละเอียดของโครงการฯ อย่างเป็นทางการ
“หากได้รับการอนุมัติสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีถือเป็นโบนัสพิเศษสำหรับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ JUMP+ ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น แต่หากไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี ก็มั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อการตัดสินใจของบจ. เพราะโครงการดังกล่าวยังมีสิทธิประโยชน์อื่นในการสนับสนุน เช่น มีที่ปรึกษาทางการเงิน รวมถึงแหล่งเงินทุนในการขยายธุรกิจ เป็นต้น"